กระบี่ไร้ยางอาย โดย (…)
กระบี่พ่ายรัก
หากท่านคิดเสพสุขอันหวานชื่นของความรัก
ก็ต้องกล้ำกลืนความกลัดกลุ้มและปวดร้าว
ซึ่งสืบเนื่องจากความรักด้วย–ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่/โก้วเล้ง-
ราตรีงาม : ดวงดาราพรมพรายไปทั่วนภาฟ้า ภาพนั้นคล้ายประกายธารายามอัสดง ทว่าไม่นานนัก กลับมีสายฝนโปรยลงทั่วบริเวณ มีเสียงเปาะแปะจากหยดน้ำใต้ชายคา กวีทอดอาลัยให้กับหยาดน้ำตาของจือหนี่กับหนิวหลาง ด้วยบทกลอนหลายประโยค
อากาศชื้นเย็น ผู้คนเบื้องล่างหลบเข้าหาที่บังกาย ด้วยเพราะพวกเขาเกรงกลัวเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่จะเปียกชื้น สูญเสียความงดงามตามหมาย ผู้คน-เมื่อหลงรักอย่างรุ่มร้อน จิตใจย่อมไม่อาจรักษาอาการสงบ เมื่อนั้นจึงเป็นห้วงยามอันเหมาะสมลงตัว
การสังหารผู้คนในห้วงอาลัยสับสน ยังมีช่วงจังหวะไหนเวลาใดเหมาะสมถึงเพียงนี้
–๑-
แสงโคมสีแดงเรียงรายเป็นแนวยาวตลอดสองข้างถนน เสียงผู้คนจอแจ เสียงพ่อค้าแม่ขาย เทศการความรักมีทุกอย่างที่ค้าขายได้ เพื่อความรัก มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่อาจค้าขาย? สิ่งนั้นคือ ความรัก
เสียงควบม้าคล้ายท่วงทำนองยามทหารหาญลั่นกลองรบ ผู้อยู่บนหลังม้ากลับเป็นบุรุษหนุ่ม ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเล็กหรี่หากแต่ฉายประกายเจิดจ้า มันผู้นี้เร่งรีบไปยังแห่งหนใด? ผู้คนมากมายคล้ายสาดถ้อยคำต่อว่ารายทาง “เร่งรีบไปหาบิดาเจ้ารึ” แม่ค้าขายเนื้อย่างพ้นวาจากราดเกรี้ยวขณะใช้ฝ่ามือโบกไล่ฝุ่นตลบ
“สหายข้าพเจ้าคล้ายย่ำแย่เจียนสิ้นแล้ว-ขออภัย ขออภัย” บุรุษหนุ่มโรยถ้อยความไว้กับสายลม ผู้คนมากมายต่างสรรเสริญมัน “บิดาเจ้า-มารดาเจ้าสิ้นแล้ว” สดับความหมายได้เช่นนั้น
ไม่ไกลจากนั้นคือ ‘โรงเตี๊ยมวิญญูชน‘ เบื้องหน้าแขวนป้ายสลักไม้ตัวหนังสือย้อมสีแดงโลหิต มองเห็นแต่ไกล ผู้ใดต้องการพบวิญญูชนย่อมต้องเดินทางมาที่แห่งนี้ หลายคนมาเพื่อพบวิญญูชน หลายคนมาเพื่อประกาศตัวเป็นวิญญูชน ผู้อยู่ในโรงเตี๊ยมจึงเป็นวิญญูชนโดยสิ้น
บุรุษหนุ่มหยุดม้าไว้เบื้องหน้าโรงเตี๊ยมวิญญูชน เตะม้าหนึ่งครา-ดีดตัวเองพุ่งทะยาน ผลักบานประตูอย่างรุ่มร้อน “ไหน? มันอยู่ไหนแล้ว?” กังวานเสียงนั้นสะท้อนบาดหูไปทั่วบริเวณ โรงเตี๊ยมวิญญูชนใช่ว่าใหญ่โตโอฬาร ไฉนจึงมีผนังบุผ้าแพรชั้นดีซับเสียง
“มันอยู่นี่” เสียงคนผู้หนึ่งแหลมขึ้นมา ต้นเสียงนั้นคือชายชราผู้หนึ่ง โครงหน้าแหลมคล้ายหนู หนวดมังกรเคราแพะแซมสีขาวประปราย ท่าทีคล้ายซินแส ข้างกายมันมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ดวงตามันมันส่ออาการเมามายเต็มที มือข้างหนึ่งโอบไหสุราไว้ข้างกาย มือหนึ่งใช้ประคองชามใส่สุราอย่างยากเย็น
“ซินแสเกาหัตถ์เทพยดา- ท่านก็มา” บุรุษหนุ่มประสานฝ่ามือคารวะผู้อาวุโส จากนั้นสอบความต่อ “มันไฉนกลายเป็นเช่นนี้ได้ – ท่านใช่ตรวจอาการมันแล้ว?” ซินแสเกานิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร เพียงยืดกายขึ้น มันเมื่อลุกขึ้นจากที่นั่งร่างกลับหดสั้นลง ส่ายหน้าไปมา มือหนึ่งคลึงจอกสุราในมืออย่างนิ่มนวล คล้ายกำลังโอบกอดดรุณีแรกแย้ม สีหน้ามันหม่นหมองเล็กน้อยคล้ายต้องการบอกเรื่องราวบางอย่าง บุรุษหนุ่มเห็นดังนั้นให้ร้อนใจ เร่งเร้าให้ผู้อาวุโสแถลงความ
“เถ้าแก่ สุราหนึ่ง กับแกล้มหนึ่ง” มันสั่งน้ำมันหล่อลื่นฝีปากผู้คน
“หนึ่งไห” เสียงจากหลังร้านถามออกมา
“หนึ่งจอก” บุรุษหนุ่มทวนคำ
“เงินสด” เสียงเดิมถามต่อ
“ม่าย- ลงบัญชี” บุรุษหนุ่มกล่าวย้ำชัดเจน
“ข้าพเจ้าจ่ายให้มันเอง” เสียงบุรุษเมามายผู้นั่งกอดไหสุราลั่นโรงเตี๊ยม กังวานไพเราะหูผู้คนยิ่ง บุรุษหนุ่มผู้มาถึงเหน็บรอยยิ้มที่มุมปาก ผสานมืออีกครากล่าวออกว่า
“ประเสริฐ ประเสริฐ บัณฑิตธนูทองสมเป็นวิญญูชนโดยแท้”
กล่าวจบมันทิ้งร่างลงข้างกายบุรุษหนุ่มผู้เมามาย กระบี่ข้างกายมันสลักถ้อยความหนึ่ง-ที่ปลอกกระบี่ เป็นคำสั้นๆหากแต่มีความหมายมากมาย ‘สหายใต้หล้า‘ เป็นชื่อกระบี่และฉายาของมัน
–๒-
เนิ่นนานเพียงใดไม่ทราบได้ จนความเงียบถูกทำลาย
“มันอกหัก” ซินแสเกาหัตถ์เทพยดากล่าวจบ ยกจอกสุรากรอกหายหนึ่งหน
“ท่านรักษามันมิได้” สหายใต้หล้าส่วนความกลับ ขณะยกจอกสุราคอยท่า
ซินแสเกาอมภูมิไม่ว่ากระไร มันส่ายหน้าขณะย้อมหัวใจด้วยสุราที่ผู้อื่นชำระให้ ขณะนั้นเอง สุราที่สั่งได้แล้ว กับแกล้มหนึ่งอย่างคือถั่วคั่วอเวจี สิ้นเสียงรินสุรา มีคนผู้หนึ่งกล่าวว่า
“อกหัก รักสลาย พ่ายสตรี –อาการของมันผู้ใดเยียวยาได้นอกจากตัวเอง”
ผู้เอ่ยวาจากลับเป็นเถ้าแก่หลงกู่ ซินแสเกาตวัดหางตามองอย่างขุ่นใจ มันหาใช่หมอเทวดา หากแต่เป็นเพียงหมอนวดฝ่าเท้าผู้คนเดินทางผ่านไปมาเท่านั้น ฝ่ามือของมันตลอดทั้งวันผ่านรอยเท้ามานับไม่รู้ต่อกี่ข้างกี่คู่ อาการของบัณฑิตธนูทอง หากกำเริบที่ฝ่าเท้าไฉนยังรอดพ้นน้ำมือซินแสเกาได้
“เถ้าแก่หลง” ซินแสเกา-ปรารภ “ท่านทราบเรื่องราว?”
“เ-ห้ย!!- มันหลงรักสตรีที่มิอาจรัก ชาวบ้านร้านค้ารู้กันทั่ว ผู้ใดไม่ทราบเรื่องล้วนเป็นตัวโง่งม”
“ใช่- โง่งม โง่บรมโง่” สหายใต้หล้ากล่าวสมทบนัยน์ตาฉอเลาะ จากนั้นสืบถามต่อ “เป็นผู้ใด?”
“ผู้ใด?” เถ้าแก่หลงถามกลับ “สตรีที่ท่านว่า?” สหายใต้หล้ารบเร้า
“นางคือมารดาของกระบี่โปรยบุปผา” ซินแสเกาชิงตอบ มันหาได้ยินยอมเสียเชิงเรื่องชาวบ้าน
“กระดังงาอัคคี!!” สหายใต้หล้าสีหน้าแปรเปลี่ยน รู้สึกถึงถั่วอเวจีรุ่มร้อนภายในช่องท้อง
กระดังงาอัคคี สตรีม่ายผู้เร่าร้อนแห่งสำนักกระบี่ชมบุปผา บัณฑิตธนูทองสหายข้า สตรีมากมายไฉนมันไม่เลือกหาที่คู่ควร สหายใต้หล้าครุ่นคิดภายในจิตใจ บัณฑิตธนูทอง ท่านดูไปยังหนุ่มแน่นใยไม่คิดหาดรุณีแรกแย้มไว้เชยชื่น ท่านต้องผ่านกี่กระบี่จึงสามารถสมหวังในรักครั้งนี้ ยิ่งกระบี่สุดท้ายเป็นคมกระบี่ของ‘โปรยบุปผาชมเดือน‘ ยอดกระบี่แห่งยุคนี้ ต่อให้สหายใต้หล้ามีศีรษะนับร้อย ไหนเลยเพียงพอสละ
มันไคร่ควรถึงเวลาที่ผ่านมา ไฉนสหายมันกลับไปพบรักม่ายลูกติดเช่นนางได้ คล้ายมีเรื่องราวหนึ่งที่มันคิดไม่ออกในขณะนี้
ชิง!! เสียงคมกระบี่กรีดอากาศยามแล่นออกจากฝัก เสียงนั้นดึงห้วงคำนึงของสหายใต้หล้ากลับมายัง ณ ปัจจุบันขณะ ประกายกระบี่เบื้องหน้าเป็นของ บัณฑิตธนูทอง “ข้าพเจ้า รักนางผิดพลาดอย่างไร” เจ้าของกระบี่ประกาศให้ผู้คนรับทราบ จากนั้นกล่าวต่อ “ทีจอมโจรเซียวจับอิดนึ้งยังรักแม่นางซิมซึ่งเป็นภรรยาผู้อื่นได้”
“นางมิใช้ภริยาผู้อื่น นางเป็นมารดาผู้อื่น” เสียงหนึ่งแหลมขึ้น สายตาผู้คนจับจ้องไปยังต้นเสียง
เป็น‘กระบี่โปรยบุปผา‘ มันนั่นเองที่กล่าววาจาเมื่อครู่ เมื่อกล่าวจบมันผุดลุกขึ้นย่างเท้ามาเบื้องหน้าบัณฑิตธนูทอง ซึ่งขณะนั้นยืนซวนเซไม่อาจประคองร่างได้ “ท่านเป็นผู้ใด?” มันถามผู้คนเบื้องหน้า
ผู้คนในโรงเตี๊ยมพลันเงียบงัน สายตาทุกคู่ต่างสอดส่ายหาประตูหน้าต่างทางรอด เจ็บตัวด้วยเรื่องราวชาวบ้านนับไม่คุ้ม-ค่าดูชม
สหายใต้หล้าเฝ้ามองผู้คนทั้งสองอย่างไม่กระพริบตา “บัณฑิตธนูทอง ท่านเก็บกระบี่เถอะ ท่านเมามายแล้ว” มันกล่าวตักเตือนผู้เป็นสหายอย่างห่วงใย ขณะที่คมกระบี่กวัดไกวไร้ทิศทาง
“ผู้ใดว่าข้าพเจ้าเมามาย มันล้วนต้องชำระค่าสุราเอง” บัณฑิตหนุ่มคำราม
สหายใต้หล้าเงียบงัน มือหนึ่งส่งถั่วคั่วอเวจีเข้าปาก หัวใจมันเต้นคำรามไม่เป็นท่วงทำนองใดๆ ซินแสเกาตั้งอยู่ในท่วงท่าสงบนิ่งสมเป็นผู้อาวุโสแห่งโรงเตี๊ยมมันเพียงจิบสุราอย่างเงียบงัน เถ้าแก่หลงเมียงมองชั่วครู่จึงเข้าไปดูงานหลังร้าน คล้ายไม่สนใจเรื่องราวต่อจากนี้
“อ่อ- ท่านคือบุตรของนาง” บัณฑิตธนูทองคล้ายนึกออก “นางสบายดีอยู่หรือ?” มันถามต่อ
กระบี่โปรยบุปผาเพียงชำเลืองมองมันด้วยสายตาเย้ยหยัน “ท่านมีค่าเพียงพอรักนาง” มันสวนกลับด้วยคำถาม ผู้คนต่างจับจ้องจนแทบลืมเลือนลมหายใจ
“ข้าพเจ้ารักนาง เพียงเท่านี้ย่อมเพียงพอให้ข้าพเจ้ารักนาง” บัณฑิตธนูทองกล่าวออกด้วยน้ำเสียงชัดเจนที่สุดเท่าที่มันทำได้ แม้ร่างของมันจะแทบไม่อาจประคองตนอยู่ได้
“ไร้ยางอาย- ผายลมมารดาเจ้า”
“ผู้คนมีความรักต่อกันไฉนเป็นเรื่องไร้ยางอาย นางเป็นมารดาเจ้าแล้วเป็นไร สตรีเมื่อไร้สามีเหลือเพียงบุตรหนึ่งใช่ว่าไม่สามารถมีความรักได้ ผายลม ใช่!! ผายลมมารดาเจ้า ข้าก็ดม” บัณฑิตธนูทองสาดอารมณ์ในถ้อยความ “เจ้าไฉนไม่ถามนางว่านางรักข้าหรือไม่?”
กระบี่โปรยบุปผานิ่งไปชั่วขณะ มันขณะนี้คล้ายมีกระแสลมปราณปั่นป่วนไหลเวียนทั่วร่าง กระบี่ข้างกายสั่นลั่นเปรียะประ หัวใจดิ่งลึกลงในหุบเหวแห่งโทสะ มือทั้งสองข้างกำแน่นเครียด ‘นางรักมัน‘ กระบี่โปรยบุปผาทวนความคิดไปมา เบื้องหน้ามันคือ บุรุษที่มารดามันเฝ้าเพ้อรำพึงหาตลอดเวลา หากแต่มันกลับไม่อาจหักใจยอมรับความรักครั้งนี้ได้ ผู้อื่นแม้ยอมรับมันเป็นคนรักมารดามัน แต่มันไม่อาจรับเรื่องราวเหล่านี้ได้ ‘วิญญูชน‘ มันคิดฟาดฟันถ้อยคำนี้ให้หายไปจากโลกหล้า
“นางรักข้าหรือไม่?” บัณฑิตธนูทองทวนคำถามอีกครา เสียงทวนซ้ำของมันกังวานก้อง
จากนั้น-ความเงียบงันปกคลุมทั่วพื้นที่ เสียงหายใจคล้ายเป็นสิ่งแปลกปลอม ทุกสายตาต่างเฝ้าคอยท่าทีของกระบี่โปรยบุปผา – รังสีกระบี่แผ่เข้าไปถึงจิตใจผู้คน บัณฑิตธนูทองเล่า ใช่สามารถรับรู้ถึงกระแสกระบี่นี้หรือไม่
ไม่- มัน ขณะนี้มีเพียงความรักเท่านั้น ความรักที่สามารถสลายปราณกระบี่กันกราดเกรี้ยวได้
สหายใต้หล้ามองดูบัณฑิตธนูทองด้วยความชื่นชม พลังแห่งรักนั้นมากมายเหนือคำนวณจริงๆ กระบี่โปรยบุปผา กระบี่ของมันความจริงสามารถปลิดชีวิตผู้คนได้ง่ายดาย ยามนี้กลับยื่นนิ่งไม่ไหวติง กระบี่ของมันพ่ายแพ้ต่อความรักแล้ว แต่มันยังครุ่นคิดเรื่องราวเรื่องหนึ่งไม่ออกอยู่ดี ซินแสเกานั่งชมดูในอาการสงบเช่นเคย
ตัง!! เสียงกังวานเมื่อกระบี่กระทบกัน กระบี่ในมือบัณฑิตธนูทองแหลกกระจายลงพื้น เนื้อกระบี่ที่โรยลงพื้นคล้ายดอกไม้เล็กๆนับร้อยนับพันกลีบ ยังไม่มีผู้ใดพบเห็นว่ากระบี่โปรยบุปผาจับไปที่กระบี่ของตน สายตาทุกดวงต่างมองไปที่เศษกระบี่บนพื้น เมื่อเงยหน้ามองขึ้นจึงพบว่า กระบี่โปรยบุปผาได้จากไปแล้ว
ผู้คนรอบข้างต่างระบายลมหายใจโล่งไปตามกัน ไม่มีเลือดเนื้อผู้คนต้องสูญเสีย กระบี่โปรยบุปผาอย่างน้อยยังเข้าใจว่าการใช้กำลังย่อมไม่สามารถคลี่คลายปัญหา
–๓-
บัณฑิตธนูทองเหม่อมองท้องฟ้าราตรีผ่านกรอบหน้าต่างบานเล็ก กระบี่ของมันยามนี้เหลือเพียงด้ามจับไร้คมกระบี่ มันวางไว้ข้างกาย ไม่ใยดีผู้คนและสุรา
ค่ำคืนเช่นนี้ ดวงดาวงดงามเช่นนี้ผู้คนกลับเศร้าสร้อย ยามนี้มันไม่ต้องการอันใดนอกจากความรักที่มีต่อนาง หากแต่ว่างานเลี้ยงมีเริ่ม ย่อมมีวันเลิกลา
“เถ้าแก่ – ขาหมูน้ำแดงที่ข้าพเจ้าสั่งได้รึยัง?” บัณฑิตธนูทองเอ่ยถาม
เถ้าแก่หลงเดินออกมาจากหลังร้าน ยื่นขาหมูน้ำแดงกรุ่นร้อนในหม้อแบบมีหูหิ้วได้ บัณฑิตธนูทองรับแล้วจึงวางเงินก้อนหนึ่งชำระค่าสุราและกับแกล้มของผู้คนในร้าน มันผลักประตูร้านออก พาร่างอันบอบบางของมันเดินลับหายไปในฝูงชนภายนอก
สหายใต้หล้าเดินโซเซมาส่งสหายของมันจนถึงประตูโรงเตี๊ยม มันคล้ายนึกเรื่องราวบางเรื่องออกแล้ว
“บัณฑิตธนูทอง ท่านแม้มีเรื่องราวรุ่มร้อนกลับยังนึกถึงครอบครัว”
มันเพียงนึกได้ว่าภรรยาของบัณฑิตธนูทอง สั่งเสียให้มันควบม้ามาย้ำเตือนเรื่องขาหมูน้ำแดง มันเสียอีกเมื่อสุราเข้าปากกลับลืมเลือน เรื่องราวเรื่องอื่นสิ้น สหายใต้หล้าเหม่อมองแสงดาวเบื้องบน มันทอดถอนใจให้กับเรื่องราวมากมายในยุทธภพ
ในห้วงความคิดมันขณะนั้นเฝ้าบอกว่า
บัณฑิตธนูทอง ท่านสมเป็นวิญญูชนโดยแท้
ไม่นานความครุ่นคิดนั้นก็อันตรธานหายไปกับสายลมและสุราจอกแล้วจอกเล่า ย่อมเป็นจอกสุราและสุรากับแกล้มที่มีผู้คนชำระค่าเงินเรียบร้อยแล้ว โรงเตี๊ยมวิญญูชน คึกครื้นไปด้วยวิญญูชน
ราตรีแห่งรักนี้-ก็เฉกเช่นเดียวกัน
–จบ-
“ในโลกมีแต่สตรี..
จึงทำให้บุรุษรู้ซึ้งถึงความอบอุ่นของบ้าน
ดังนั้นในโลกนี้ไม่อาจปราศจากสตรี”-จับอิดนึ้ง/โก้วเล้ง-
บ่ะเฮ้ยท่านพี่
แจ่มๆๆ นับว่าเพลงกระบี่ของท่านแจ่ม, ไม่ธรรมดา